IPO หรือ Initial Public Offering คือ การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ของบริษัทมหาชนจำกัด ต่อประชาชนในครั้งแรก
IPO นั้นเป็นหนึ่ง ในวิธีการที่จะได้มาซึ่งเงินทุน แต่การที่ธุรกิจจะตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น มีประโยชน์และข้อควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
ประโยชน์ ของการ IPO
1. ทำให้เกิดการจัดระบบการควบคุมภายใน การจัดการ และการรายงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือ
2. สร้างความสามารถในการแข่งขัน
3. วงเงินกู้ที่ได้รับจากสถาบันการเงินสูงขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายต่ำลง
4. ได้ทราบมูลค่าที่แท้จริงของกิจการจากการมีราคาตลาดในการซื้อขาย
5. เพิ่มโอกาสในการหาพันธมิตร ภาพลักษณ์ที่ดี และน่าเชื่อถือ
ข้อควรพิจารณา
1. ปริมาณงานเพิ่มขึ้นจากเดิม การปิดงบการเงินปีละครั้ง ต้องเป็นอย่างน้อย 4 ครั้ง และต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนตามกำหนดเวลา
2. มีผู้เข้ามาร่วมตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ
3. มีแรงกดดันต่อความคาดหวังของผู้ลงทุน
IPO ต้องเกี่ยวข้องกับใครบ้าง
1. สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) : อนุญาตการเสนอขาย IPO และกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัท ก่อนที่จะเป็นบริษัทจดทะเบียน
2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) : จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ตลอดจนบริการ ที่เกี่ยวข้อง และกำกับดูแลให้ทำตามกฎเกณฑ์เช่น กฎเกณฑ์การซื้อขาย การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา
3. กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce) : จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน/เพิ่มทุน
4. Financial Advisor (FA) ที่ปรึกษาทางการเงิน : ช่วยในการจัดเตรียมข้อมูล และดูแลให้บริษัทปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ให้ถูกต้อง โดยเริ่มตั้งแต่ด้านการดำเนินธุรกิจการจัดโครงสร้างทุนและโครงสร้างธุรกิจ ตลอดจนให้คำแนะนำในการปรับปรุง ระบบการบริหารจัดการ เพื่อให้บริษัทมีคุณสมบัติพร้อมสำหรับการยื่นคำขอต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ
5. ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต (Auditor) : จะให้คำแนะนำและตรวจสอบ งบการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชีรายงาน ของผู้สอบบัญชีถือเป็นข้อมูลสำคัญในงบการเงิน เป็นการรายงานความถูกต้อง ก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะ
6. ผู้ตรวจสอบระบบงานภายใน (Internal Control Auditor) : ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ประเมิน ให้ความเห็น คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง
7. ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) : ช่วยกระจายหุ้น IPO
8. ที่ปรึกษากฎหมาย (Lawyer) : ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ มี 3 เรื่อง
1. โครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างกรรมการ
การจัดโครงสร้างธุรกิจ ให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความชัดเจน ไม่มีการทำธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นบางกลุ่ม รวมทั้งต้องมีการจัดโครงสร้าง คณะกรรมการในฐานะตัวแทนของผู้ถือหุ้น ให้มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างกัน โปร่งใส และแบ่งแยกอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน โดยคณะกรรมการบริษัท จะต้องประกอบด้วย
1.1 กรรมการบริหารและกรรมการอิสระ
1.2 กรรมการอิสระควรคัดเลือกจากคนที่รู้และเข้าใจในธุรกิจของบริษัท และ
1.3 คณะกรรมการตรวจสอบต้องมีอย่างน้อย 3 คน (ประธานกรรมการ ควรเป็นคนละคนกับ CEO ประธานกรรมการ ควรเป็นกรรมการอิสระ)
2. ระบบบัญชีและรายงานทางการเงิน
ระบบการจัดทำงบการเงินให้ เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี เพื่อให้รายงาน ทางการเงินนั้น สะท้อนความสามารถใน การดำเนินงานของกิจการได้อย่างถูกต้อง และต้องเปลี่ยนมาตรฐานการบัญชีจากกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ Non-Publicly Accountable Entities (NPAEs) มาเป็นมาตรฐานการบัญชีจากกิจการ ที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ Publicly Accountable Entities (PAEs) ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน Thai Financial Reporting Standards (TFRS) และบริษัทจะต้องมี CFO ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสูงสุดในสายงานบัญชีและการเงิน มีสมุห์บัญชีเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมดูแลการทำบัญชี
3. ระบบการควบคุมภายใน
การมีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกัน บริหาร จัดการความเสี่ยงหรือความเสียหาย ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี และการมีระบบการควบคุมด้านการบริหารจัดการ ที่แสดงให้เห็นว่า มีระบบ Check and Balance ที่ดี มีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจน
ดังนั้น ระบบบควบคุมภายในถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยกำหนดให้มี Internal Auditor ตรวจสอบและรับรองว่าระบบควบคุมที่มีนั้น เพียงพอและครอบคลุมความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจ มีการปฏิบัติ ตามข้อกำหนดในการควบคุมอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีโครงสร้างการบริหารงาน ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าการควบคุมภายในนั้นมีความสำคัญและไม่ถูกละเลยในการเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ
เรียบเรียงโดย คุณภัทชิรา มิ่งขวัญ
รองผู้จัดการฝ่าย